Menu Close

ROIC ปรับพอร์ตธุรกิจ พิชิตกำไร

Original price was: ฿415.00.Current price is: ฿352.00.

มีสินค้าอยู่ 7

รหัสสินค้า: M005 หมวดหมู่:
น้ำหนัก 430 กรัม
ขนาด 21 × 14.5 × 1.7 เซนติเมตร

ROIC ปรับพอร์ตธุรกิจ พิชิตกำไร จาก 2 รีวิว

  1. mpirika_admin

    หลังจากได้อ่านแล้ว และลงมือหาข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ตามผลการศึกษา และข้อเสนอที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นำเสนอ เปรียบเทียบกับผลการศึกษาในการใช้ปฎิรูปตลาดทุนของญี่ปุ่น
    ก็พอจะได้บทสรุปถึงปัญหาที่ SET Index กำลังเผชิญอยู่ในรอบ10ปีที่ผ่านมา มีส่วนคล้าย มีส่วนต่าง
    เนื่องจากอย่างน้อยก็มีข้อมูลมารองรับสมมุติฐาน ไม่ได้ใช้ความคิดเห็นแบบเดาสุ่มไปว่าปัจจัยโน่น ปัจจัยนี้ที่ทำให้ SET Index มีสภาพแบบที่เห็นๆอยู่

    บทแรกของหนังสือเล่มนี้ นำเสนอผลการศึกษาว่าปัจจัยใดที่ทำให้ตลาดทุนญี่ปุ่นตกต่ำมาเป็นเวลานาน โดยใช้ Return on Equity (ROE) เป็นดัชนีชี้วัดเริ่มต้น
    เทียบกับตลาดหุ้นหลักๆของยุโรปและสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็แตกย่อย ROE ออกเป็นอีก3ดัชนีชี้วัด คือ อัตราการทำกำไรจากยอดขาย (Profit Margin)
    อัตราการหมุนเวียนสินทรัพย์(Asset Turnover) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์มาสร้างยอดขาย และ อัตราการใช้เงินกู้เพื่อใช้ดำเนินธุรกิจ (Financial Leverage)
    วิธีการวิเคราะห์แบบนี้รู้จักกันดีในชื่อ DuPont Analysis ที่บริษัท DuPont คิดค้นขึืนมาเพื่อใช้วิเคราะห์ธุรกิจภายในกลุ่มบริษัทเอง เพิ่อใช้ตัดสินใจเลือกรักษาธุรกิจ ลงทุนเพิ่ม และ ออกจากธุรกิจ

    เพียงแค่การวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้ เราก็สามารถเห็นปัญหาในภาพรวมได้พอสมควร ว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่คืออะไร จะเข้าไปวิเคราะห์ลงลึกต่อก็จะตรงจุด และไม่ยาก
    บทต่อๆไป ผู้เขียนนำเสนอการศึกษาในเชิงลึก แยกย่อยลงทีละดัชนีส่วนประกอบของROE และมีการปรับค่า ROE ที่วัดเฉพาะผลตอบแทนจาก “ทุน” ที่มาจากผู้ถือหุ้นเท่านั่น
    มาเป็น ผลตอบแทนจากการใช้ทุนที่มาจาก “ทุน”ของผู้ถือหุ้น รวมกับ “เงินทุน”ที่มาจากการกู้ นั่นคือ ROIC เพื่อวัดประสิทธิภาพในการใช้เงินทุนของกิจการจริงๆ

    ทั้งนี้การใช้ ROIC เพียงอย่างเดียวนั้นไม่ครบถ้วน ยังจะต้องนำเอาต้นทุนเงินทุน(WACC) โดยรวมมาหักออกเรียกว่า ROIC Spread โดยทฤษฎีแล้ว มันต้องมากกว่า 0

    การพิจารณา WACC นั้นผู้เขียนได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจในการคำนวณ เพราะถึงแม้ต้นทุนจากเงินกู้จะต่ำกว่า
    ต้นทุนเงินทุนจากส่วนทุนก็จริง แต่มันอาจจะมีความเสี่ยงแฝงมากมาย ผู้บริหาร นักลงทุน ต้องนำมาพิจารณาปรับเพิ่ม/ลดตามความเหมาะสมกับสถานการณ์

    อย่างไรก็ตาม ROIC Spread นั้นยังมีหลุมพรางซ่อนอยู่บ้างอย่างน้อย3ประการ

    1) ค่าที่ได้บอกแต่เพียงว่า การลงทุนทำมาหาได้นั้นคุ้มค่าหรือไม่ แต่มันไม่ได้บอกถึงมูลค่าเชิงเศรษฐกิจของธุรกิจ ROIC Spread สูงจริง
    แต่มูลค่าเชิงเศรษฐกิจต่ำ ก็ไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจดีขึ้นมากนัก ตรงนี้ใช้วิธีหา Economics Value added(EVA) เข้ามาใช้ในการตัดสินใจ

    2) ROIC Spread เป็นค่าที่คำนวณมาจากฐานข้อมูลในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้หมายความว่า อนาคตมันจะยังคงดี หรือดีขึ้น
    มันขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัยที่ผู้บริการกิจการจะต้องดำเนินการปรับปรุง และนักลงทุนก็ต้องประเมินว่า ผู้บริหารโม้
    หรือ ทำมาถูกทางหรือไม่ ต้องทำForcast ไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นแผนในการดำเนินงาน และติดตาม

    3) ROIC Spread เป็นค่าที่คำนวณได้จากตัวเลขทางบัญชี ไม่ใช่กระแสเงินสดที่บริษัทจะได้รับ หรือ จ่ายออกไป
    ตรงนี้ใช้การหาค่า Cash Conversion โดยนำเอา Free Cash flow มาคำนวณเพื่อให้เห็นว่า กำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนนั้น แท้จริงแล้วมันจะกลายเป็นเงินสดเท่าไหร่กันแน่

    เนื้อหาในส่วนต่อๆไปจะค่อยๆลงลึกไปยังส่วนย่อยๆ เพื่อเจาะปัญหา และวิธีการแก้ไขปรับปรุงต่างๆอีกมากมาย เรียกว่าละเอียดยิบตามวิถีของญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยจะทำอะไรแบบลวกๆ

    แนวคิดและวิธีการคำนวณไม่ได้มีความซับซ้อนแต่ประการใด ผู้บริหารกิจการนำเอาไปประยุกต์ใช้กับกิจการของตนเองได้ นักลงทุนที่มุ่งมั่นจริงๆไม่หยิบโหย่งรอฟังแต่ Story
    และถ้าขยันไป Company Visit ก็สามารถเอาแนวคิดและวิธีการไปทำการบ้าน ตั้งคำถามกับผู้บริหารได้ ไม่ใช่แค่ไปฟังเขาโม้และกดขวาแต่อย่างเดียว

    Cr: Montri P.

  2. mpirika_admin

    คู่มือประเมิน M&A ฉบับญี่ปุ่น

    ปกติแล้วเรามักอ่านหนังสือบริหารธุรกิจจากโลกตะวันตก นำมาแปลเป็นภาษาไทย รอบนี้มาเจอหนังสือฝั่งญี่ปุ่นที่แปลเป็นภาษาไทยบ้าง (หาได้ยากยิ่ง!) จึงอยากรีวิวคร่าวๆ เผื่อมีคนสนใจ
    หนังสือเล่มนี้เขียนโดยทีม KPMG ญี่ปุ่น (2 บริษัทลูกทำงานร่วมกันคือ KPMG FAS และ KPMG AZSA) ชื่อหนังสือแบบเต็มๆ อาจเข้าใจยากนิดนึง

    “ROIC Return on Invested Capital ปรับพอร์ตธุรกิจ พิชิตกำไร”

    ผมขอตั้งชื่อเรียกแบบง่ายๆ ว่ามันคือคู่มือสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ เอาไว้อ่านเพื่อประเมินว่าจะลงทุนในธุรกิจลูกตัวไหนต่อ หรือตัวไหนควรต้องขายออกไป (divest)
    หลักสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ ถ้าเราเอาสถิติของบริษัทใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นมาดู จะเห็นว่ามีอัตราผลตอบแทน (Return on Equity) ต่ำกว่าบริษัทอเมริกาและยุโรปมาก
    แม้ธุรกิจมีอัตราการเติบโต ยอดขายดีก็ตาม นั่นแปลว่าบริษัทญี่ปุ่นมีวิธีการบริหารเงินลงทุน (Return on Invested Capital) ไม่ดีพอ
    หนังสือชี้ปัญหาว่า ธุรกิจใหญ่ๆ ระดับ conglomerate มีต้นทุนค่าบริหารจัดการตามจำนวนของธุรกิจในเครือ (ยิ่งลูกเยอะ ค่าบริหารจัดการเยอะตาม)
    หรือที่เรียกว่า conglomerate discount อันนี้เป็นทั่วโลก

    แต่บริษัทตะวันตก มีวิธีจัดการ portfolio บริษัทในเครือทั้งฝั่งซื้อเข้า (acquire) และฝั่งขายออก (divested) ทำให้อัตรากำไรยังดีอยู่เสมอ
    ในขณะที่บริษัทญี่ปุ่นมักซื้ออย่างเดียว ไม่ค่อยขายออก ไม่ค่อยปิดทิ้ง จึงเกิดภาวะซื้อธุรกิจไปดอง กลายเป็นซอมบี้อยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ ส่งผลให้อัตรากำไรรวมต่ำลงนั่นเอง
    หนังสือเล่มนี้จึงเป็นคู่มือในการประเมินว่า ธุรกิจในเครืออันไหนควรไปต่อ และอันไหนควรขายออกไป
    ที่เหลือเป็นเรื่อง how แล้วว่าวิธีการประเมินแบบต่างๆ เป็นอย่างไร ถ้าอยากปิดทิ้งหรือขายออกไป ควรต้องทำอย่างไร

    ผมคิดว่าเวลาเราพูดถึง M&A เรามักพูดถึงแต่ฝั่งซื้อเข้าเยอะกว่าจริงๆ เพราะสตอรี่มัน sexy กว่ามากๆ (ทั้งฝั่งผู้ซื้อและฝั่งผู้ถูกซื้อ)

    ส่วนประเด็นว่า ซื้อแล้วไปไหน เอาไปทำอะไรต่อ เรากลับพูดถึงกันน้อยมาก หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดหูเปิดตาผมได้มากเช่นกัน
    หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร ผมคิดว่าเหมาะกับคนทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ที่มี M&A เยอะๆ, คนที่ทำงาน consult ทางธุรกิจ,
    บอร์ดบริหารองค์กร รวมถึงนักลงทุนที่สนใจประเมินธุรกิจที่จะลงทุนด้วย
    คนอ่านควรมีความรู้พื้นฐานด้านบริหารธุรกิจและการเงินมาบ้าง ในหนังสืออ้างหลักการจากตำราบริหารฝรั่งดังๆ
    เช่น five forces, GE matrix, BCG Matrix และศัพท์ทางการเงินอย่างพวก CAGR, IRR, NPV สักหน่อยด้วย
    หนังสือเป็นสไตล์ญี่ปุ่นจัดๆ นั่นคือ very formal & very structured แทบเป็นตำราเรียนเลยก็ว่าได้

    ทุกหัวข้อย่อยและภาพประกอบมีตัวเลขกำกับเสมอ ภาพประกอบมีชาร์ทและแผนภูมิเยอะมาก
    (ใครที่เคยทำงานกับ corporate ญี่ปุ่น น่าจะพอนึกออกว่าเจออะไรที่มันดีเทลเยอะๆ แบบนั้นใช่เลย)
    หนังสือเล่มนี้พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ mpirika วางขายแล้วตามร้านทั่วไป (ลิงก์ในเมนต์)

    ต้องขอบคุณผู้แปล Pornthip Suttitaveesuk ที่แปลจากญี่ปุ่นเป็นไทยได้ยอดเยี่ยมมาก (เห็นจำนวนหน้าและความโหดของเนื้อหาแล้วต้องคารวะคนแปล) และ Nat Lertmongkol ที่ส่งมาให้ด้วยครับ

    ขอขอบคุณ credit จากเพจ FB: Khun Isriya Paireepairit

เพิ่มบทวิจารณ์

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *